Nana Talk
รู้จักความเคลื่อนไหวในหลากมิติวัฒนธรรม ผ่านบุคคลในวงการศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยไทย-ญี่ปุ่น
A Retrospective Dreamscape of Koki Tanaka
แกะรอยความฝันและผลงานของศิลปินญี่ปุ่นที่กำลังจะจัดแสดงผลงานในไทยปลายปีนี้

“เคยมีเพื่อนบอกว่า หน้าตาผมเหมาะกับเป็นสายลับ เพราะไม่มีอะไรชวนให้จดจำ ผมก็คิดเหมือนกันว่า เออ ผมเนี่ยไม่เหมาะจะเป็นศิลปินเอาซะเลย”
ปีนี้ โคกิ ทานากะ (Koki Tanaka) อายุครบ 50 ปี ตามปกติศิลปินร่วมสมัยวัยนี้มักมีงานนิทรรศการใหญ่ที่รวบรวมผลงานทั้งหมดของชีวิตในแกลเลอรีหรือพิพิธภัณฑ์
โคกิ ทานากะ ไม่มีนิทรรศการแบบนั้น ทว่าทั้งปี 2025 นี้ ศิลปินผู้ชอบทำงานศิลปะชวนขบคิดประเด็นต่าง ๆ ในสังคม กลับได้รับเชิญให้กลับไปทำงานศิลปะภาคต่อในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย ทั้งขวบปีนี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการมองย้อนดูผลงานที่ผ่านมา
ในเทศกาลศิลปะ Ghost 2565: Live Without Dead Time (2022) โคกิสร้างผลงานชิ้นแรกในไทย เขาออกแบบงาน Eating an Apple While Lucid Dreaming เป็นทัวร์ 12 ชั่วโมงที่พาผู้ร่วมงานออกไปกินข้าว ท่องเที่ยวกรุงเทพฯ และหลับฝันไปบนรถบัสคันเดียวกัน
ปีนี้เขากลับมาแกะรอยงานที่ตัวเองเคยทำไว้ในอดีต ด้วยชิ้นงานภาคต่อ Activating Archive: Eating an Apple While Lucid Dreaming 2565/2568 ที่มีไอเดียสนุกล้ำไม่แพ้กัน ซึ่งจะจัดแสดงในเทศกาล Ghost 2568: Wish We Were Here (2025) ปลายปี
เชิญทำความรู้จักแนวคิดการทำงานของศิลปินผู้ไม่ค่อยจะเป็นศิลปินสักเท่าไหร่ จากเบื้องหลังผลงานในอดีต การเป็นพ่อมือใหม่ในปัจจุบัน ก่อนไปชมผลงานของเขาในอนาคตอันใกล้นี้


การเป็นศิลปินที่ไม่ค่อยจะเหมือนศิลปินเท่าไหร่ หมายความว่ายังไง
อืม การอธิบายงานตัวเองเป็นเรื่องยากสำหรับผมมาตลอด คนมักคาดหวังว่าศิลปินต้องเป็นผู้สร้างบางอย่าง แต่ผมรู้สึกว่าผมเป็นแค่คนประสานงาน (Coordinator) หรือไม่ก็คนจัดการ (Organizer) หรือคนที่ออกแบบสถานการณ์ให้เกิดขึ้น ศิลปินมักมีภาพในใจ มีเสียงที่แข็งแรง มีตัวตนโดดเด่น แต่เสียงผมมักจะเบา กำกวม และผมก็ไม่อยากให้ตัวตนชัดเกินไปด้วย
ถ้ามีภาพในใจก่อน ผมจะทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีภาพหรือไอเดียไว้กำหนดทิศทาง ผมจะเปิดกว้างให้คนอื่นมาร่วมทำงาน มาส่งเสียงของเขาในแบบที่ผมไม่ได้คาดหวัง นี่คือการทำงานที่ได้ผลสำหรับผม


ช่วยอธิบายงานของคุณที่ทำในเมืองไทยให้ฟังหน่อยได้ไหม
ผมทำ Eating an Apple While Lucid Dreaming ในเทศกาล Ghost: 2565 เป็นทัวร์รถบัสตอนกลางคืน 12 ชั่วโมง แบ่งออกคร่าว ๆ เป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือทัวร์ประวัติศาสตร์ โดย ธนาวิ โชติประดิษฐ นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ซึ่งรู้จักประวัติศาสตร์การเมืองในจุดต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ ส่วนถัดมาคืออาหาร อนุสรณ์ ติปยานนท์ นักเขียนผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหาร แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อาหารและความเป็นไทย โดยผู้เข้าร่วมทั้งหมดมาเจอกันตอน 6 โมงเย็น กินข้าวเย็นด้วยกัน แล้วขึ้นรถบัสไปจุดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจุดที่มีประเด็นสำคัญทางการเมือง ซึ่งคล้าย ๆ วิชาประวัติศาสตร์
และส่วนที่ 3 คือ Lucid Dream เป็นการฝันแบบรู้ตัวว่าฝันอยู่ ซึ่งมีวิธีฝึกให้ฝันแบบนั้นได้ ระหว่างที่รถพาไปชมจุดต่าง ๆ ทุกคนจะฟังเสียงบรรยายว่าจะฝันแบบ Lucid Dream ได้อย่างไร จากข้อมูลในหนังสือของ สตีเฟน ลาเบิร์จ (Stephen LaBerge) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ และถึงจุดหนึ่งเราก็นอนหลับในรถสองสามชั่วโมง เพื่อพยายามฝันแบบรู้ตัวให้ได้
การกลับมาทำงานในเทศกาล Ghost: 2568 เป็นการกลับไปเยี่ยมทัวร์รถบัสครั้งนั้น ผ่านการค้นคว้าประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เข้าร่วม แล้วทำงานศิลปะจัดวางบันทึกเหล่านั้นออกมา


Koki Tanaka, Eating an Apple While Lucid Dreaming, 2022, Ghost 2565: Live Without Dead Time, Bangkok. Photo by Koki Tanaka. Courtesy to the artist
งานชิ้นใหม่ใน Ghost: 2568 ครั้งนี้ คือการพา Ghost ในอดีตกลับมาอีกครั้งเหรอ
ผมก็ตีความแบบนั้นนะ
ปี 2025 เป็นปีที่แปลกสำหรับผม เพราะผมได้โอกาสกลับไปแสดงงานเก่า ๆ จากปี 2006 – 2012 และ 2015 – 2017 ในหลายพื้นที่ รวมถึงงานปี 2022 ที่เมืองไทย ซึ่งคิวเรเตอร์ คุณคริสตินา ลี (Christina Li) พาผมกลับมาประกอบสร้างผลงานนี้เพื่อจัดแสดงใหม่อีกครั้ง

ราว 10 กว่าปีก่อน งานของคุณดูจะเน้นการทดลองให้คนทำงานชิ้นเดียวร่วมกัน เช่น ให้ช่างตัดผมหลายคนตัดผมคนคนเดียวกัน ให้ช่างปั้นหลายคนปั้นชิ้นงานเดียวกัน ซึ่งต่างกับงานช่วงหลัง ๆ ที่แตะประเด็นสังคมการเมืองในประเทศต่าง ๆ จุดเปลี่ยนของคุณคืออะไร
ถึงไม่แตะประเด็นสังคมการเมืองโดยตรง แต่จริง ๆ มันมีบริบทเกี่ยวข้องกันอยู่ ผมสนใจการทำงานร่วมกันระหว่างผู้คน ซึ่งเริ่มต้นมาจากแผ่นดินไหวและภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นในปี 2011 ผมอ่านบทความเจอว่า โตเกียวอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุมาก แต่ขนส่งสาธารณะทั้งหมดก็หยุดทำงาน ผู้คนมหาศาลเลยต้องเดินเท้ากลับบ้าน บางคนต้องเดิน 5 – 7 ชั่วโมง บางคนต้องการที่หยุดพัก อาหารและน้ำ ปรากฏว่าร้านสะดวกซื้อบางแห่งแจกอาหารและน้ำฟรีให้คน แกลเลอรีบางแห่งเปิดให้คนเข้าไปพักชั่วคราว ผมประทับใจมาก เพราะโตเกียวที่ผมรู้จักเป็นเมืองใหญ่ที่คนเมินเฉยกันและกัน แต่ในเหตุการณ์คับขัน ทุกคนต่างช่วยเหลือกันและพยายามทำความเข้าใจกัน เหมือนสังคมในอุดมคติ
ผมพยายามเลียนแบบช่วงเวลาแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง อย่างงาน A Piano Played by Five Pianists at Once (First Attempt), 2012 คือการให้นักเปียโน 5 คนนั่งเล่นเปียโนตัวเดียวกันพร้อมกัน พวกเขาต้องพูดคุยต่อรองกัน บางทีก็ทุ่มเถียงกัน เพื่อสร้างเสียงเพลงด้วยกันให้ได้ บางคนเล่นเปียโนคลาสสิก บางคนเป็นนักเปียโนแจ๊ส บางคนเป็นนักเล่นเปียโนแบบด้นสด นอกจากได้ผลงานสำเร็จ ผมก็บันทึกกระบวนการทำงานร่วมกันไว้ด้วย
จุดเปลี่ยนมาจากตอนที่ผมย้ายจากลอสแอนเจลิสกลับมาอยู่ที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2016 ผมได้เห็นการเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งออกมาพูดแสดงความเกลียดชังต่อชนชาติอื่น ผมเลยพยายามศึกษาประวัติศาสตร์และจับประเด็นอ่อนไหวในสังคม ซึ่งนำไปสู่การสร้างงานที่มีประเด็นอ่อนไหวในพื้นที่อื่น ๆ


น่าจะไม่ง่ายเลย
ไม่ง่ายเลย เพราะผมเป็นคนต่างชาติ เป็นคนนอกที่พยายามแตะสิ่งซึ่งคนไม่อยากพูดถึง แต่ผมคิดว่าคนที่เผชิญความลำบากจากประเด็นสังคมการเมือง บางครั้งก็ต้องการคนนอกที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรมาเป็นผู้มองสถานการณ์ จนถึงเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับประเด็นนั้น

คุณทำอย่างไรให้งานของคุณเป็นสากล ทำให้คนหลายชาติ หลายภาษา เข้าใจได้
เวลาคิดไอเดีย ผมคิดว่าโครงสร้างสิ่งต่าง ๆ มีความขัดแย้งกัน คือ รูปธรรมกับนามธรรม อย่างเรื่องภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลกระทบกับคนในท้องที่มาก ๆ แต่คนภายนอกที่ดูข่าวไม่มีทางเข้าใจหรือเชื่อมโยงแบบเดียวกัน ดังนั้น การสื่อสารแบบนามธรรมจึงเป็นวิธีถ่ายทอดปัญหาท้องถิ่นไปสู่บุคคลภายนอก งานร่วมมือกันเล่นเปียโนอยู่ในนิทรรศการที่ผมทำใน Japan Paviilion งาน Venice Biennale 2013 คือการจำลองการร่วมมือร่วมใจกันในสังคมหลังภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น


งานชิ้นล่าสุดในไทยนี้ก็ยังเน้นกระบวนการทำงานร่วมกันอีกใช่ไหม เพราะคุณให้คนมาเรียนเวิร์กช็อปกับคุณ แล้วไปค้นคว้าบันทึกเรื่องราวของทัวร์รถบัสในปี 2022
ใช่ คริสติน่า ผม และทีมงาน Ghost: 2568 จัดเวิร์กช็อปสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้เข้าร่วมมีทั้งคนทำภาพยนตร์ ศิลปิน นักวิชาการ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นโฮสต์ของงานนี้ พวกเขาได้เรียนวิธีการค้นคว้า แนวคิดเบื้องหลังการเก็บบันทึก การสัมภาษณ์และการถ่ายวิดีโอ โดยเวิร์กช็อปนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการการศึกษาของเทศกาล
พวกเขาจะร่วมมือกับผมในการแกะรอยทัวร์ในอดีต เพื่อให้ผมได้วัตถุดิบไปใช้จัดศิลปะจัดวาง เช่น สัมภาษณ์ผู้ร่วมทัวร์กับคนขับรถในตอนนั้น ถ่ายภาพสถานที่ที่เคยไป หรืออาจจะหาเมนูอาหารหรือแผนที่เส้นทางทัวร์ ฯลฯ มุมมองที่หลากหลายของทุกคนจะเป็นส่วนหนึ่งของการบันทึก ผมสนใจผลงานที่เกิดจากการรวมหมู่ ขณะเดียวกันก็มีแง่มุมปัจเจกของแต่ละคนอยู่ด้วย ซึ่งผมก็ยังไม่รู้นะว่าผลลัพธ์จะออกมาหน้าตายังไง โฮสต์ก็อาจจะงง ๆ เหมือนกัน แต่กระบวนการทดลองที่เกิดจากความไม่รู้หรือไม่คาดหวังมาก่อนน่าสนใจเสมอสำหรับผม

จากความสนใจตอนนั้น ตอนนี้คุณยังสนใจประเด็นไหนอีก
ตอนนี้ผมมีลูก ก็เลยสนใจเรื่องความคิดเกี่ยวกับการดูแลเป็นพิเศษ ผมอ่านหนังสือเรื่อง The Logic of Care: Health and the Problem of Patient Choice ของ แอนน์มารี โมล (Annemarie Mol) ซึ่งเธออธิบายตรรกะการดูแล (Logic of Care) กับ ตรรกะทางเลือก (Logic of Choice) และชี้ให้เห็นว่าการดูแลรักษาโรคเรื้อรังที่ดีไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของคนคนเดียว แต่เป็นการปรึกษาและตัดสินใจร่วมกันระหว่างทีมแพทย์ พยาบาล คนไข้ นักสังคมสงเคราะห์ และครอบครัว ตามอาการของคนไข้
ผมว่าไอเดียนี้คล้ายกับการดูแลเด็กซึ่งโตขึ้นทุกวัน พ่อแม่ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ ไม่ยึดติดกับแนวทางเดียว ซึ่งมันทำให้ผมได้ทบทวนการทำงานศิลปะของตัวเอง ไอเดียเรื่องการทำงานศิลปะร่วมสมัยเปลี่ยนไป งานร่วมสมัยไม่ใช่เส้นตรง แต่เกิดจากหลายสิ่งประกอบกัน วิธีการเล่าก็มีหลายรูปแบบ ซึ่งเราต้องปรับทิศทางหรือมุมมองไปทุกวัน
การเป็นพ่อส่งผลต่อบทบาทการเป็นศิลปินมาก
ผมไม่แน่ใจว่าผมพูดถึงงานศิลปะหรือชีวิตกันแน่ แต่มุมมองของผมเปลี่ยนไป ทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องงานศิลปะ ตอนผมอ่านหนังสือของ แอนน์มารี โมล ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน แต่เป็นผู้ปกครองคนหนึ่งที่ต้องดูแลลูก ซึ่งมันปลดปล่อยผมออกจากการเป็นศิลปิน ผมไม่อยากกลับไปคิดแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว แต่การกลับไปสู่ชีวิตธรรมดาก็ส่งผลต่องานศิลปะไปอีกแบบ

Nippon 101
เกร็ดความรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่ทำให้คุณรู้จักแดนอาทิตย์อุทัยมากขึ้น
‘Knowing SAKE’


Sake คืออะไร
สำหรับคนญี่ปุ่น คำว่า ‘สาเก’ มักหมายถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ส่วน ‘สาเกญี่ปุ่น’ หรือที่คนไทยเรียกเหล้าญี่ปุ่นนั้น เรียกว่า ‘นิฮงชู’ เหล้าญี่ปุ่นเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หมักที่ทำมาจาก ข้าว น้ำ โคจิ (ตัวย่อยแป้งเป็นน้ำตาล) โดยผู้ควบคุมการผลิตสาเกเรียกว่า โทจิ (Tōji)
วิธีทำสาเก
นำเมล็ดข้าวขาวมาขัด ยิ่งขัดพื้นผิวด้านนอกออก สาเกที่ได้จะยิ่งใสสะอาดมากขึ้นเท่านั้น จากนั้นนำข้าวไปล้าง แช่น้ำ แล้วหุงจนสุก ค่อยนำไปหมักกับโคจิ เพื่อเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด ก็เติมน้ำกับยีสต์เพื่อเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์ โดยใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น หลังการหมักเสร็จสิ้นค่อยกรองเอากากออก จะได้เหล้าสาเกออกมา แต่อาจนำไปต้มเพื่อพาสเจอไรซ์ หรือบ่มต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อให้ได้รสลุ่มลึกยิ่งขึ้น
ประเภทสาเก
แบ่งหลักๆ ด้วยวัตถุดิบและการขัดสีข้าว ดังนี้
- Junmai สาเกดั้งเดิม ไม่เติมวัตถุดิบอื่นอย่างแอลกอฮอล์และน้ำตาล
- Honjozo สาเกที่ผลิตโดยการเติมแอลกอฮอล์
- Junmai Ginjo สาเกกลิ่นผลไม้ ผลิตจากข้าวที่ถูกขัดจนเหลือ 60 % หรือน้อยกว่า และ Ginjo ที่คล้ายกัน เพียงแต่เติมแอลกอฮอล์เข้าไป
- Junmai Daiginjo สาเกพรีเมียม ผลิตจากข้าวที่ถูกขัดจนเหลือ 50 % หรือน้อยกว่า และ Daiginjo ที่คล้ายกัน เพียงแต่เติมแอลกอฮอล์เข้าไป
นอกจากนี้ยังมีสาเกประเภทอื่นๆ เช่น
- Genshu Sake สาเกที่ไม่เติมน้ำในการผลิต มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง
- Taru Sake สาเกที่บ่มในถังไม้สน
- Nama Sake สาเกสด ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์
- Muroka สาเกที่ไม่ผ่านการกรอง
- Kimoto และ Yamahai สาเกที่ผลิตแบบดั้งเดิมเพื่อให้เกิดยีสต์ธรรมชาติ มีความเป็นกรดตามธรรมชาติ
- Nigori และ Ori Sake สาเกสีขาวขุ่น มีตะกอน โดย Ori Sake ตะกอนจะละเอียดกว่า
- Koshu สาเกที่บ่มนานกว่าปกติ
- Kijoshu สาเกพิเศษ รสหวานกว่าปกติ จากการเติมสาเกลงไปบ่มแทนแอลกอฮอล์
ศิลปะการดื่มสาเก
สาเกดื่มให้อร่อยได้หลายอุณหภูมิ ขึ้นอยู่กับชนิดของสาเกและบริบทแวดล้อม ทั้งดื่มแบบใส่น้ำแข็ง แช่เย็น อุณหภูมิห้อง ไปจนถึงดื่มแบบร้อนๆ ซึ่งเหมาะกับฤดูหนาว โดยสาเกสามารถดื่มก่อนอาหาร จับคู่กับอาหารหลากชนิด เนื่องจากสาเกมีความเปรี้ยวน้อยกว่าไวน์ เครื่องดื่มจากข้าวจึงเข้ากับอาหารเอเชียที่รสจัดจ้านได้ดี หรือจะดื่มหลังอาหารก็ได้
ภาชนะใส่สาเกก็มีหลายแบบ ภาพจำของสาเกคือเสิร์ฟในกล่องไม้สนสี่เหลี่ยม Masu ซึ่งนิยมใช้เทศกาลงานพิธี หรือจะดื่มจากจอกเล็กๆ ที่เรียกว่า Ochoko และเหยือกสาเกคู่กัน เรียกว่า Tokkuri ก็ได้ เหยือกและถ้วยเหล่านี้อาจเป็นเซรามิก แก้ว เครื่องเคลือบแลกเกอร์ หรือโลหะ ปัจจุบัน การใช้แก้วไวน์สำหรับดื่มสาเกเป็นที่นิยมมากขึ้น
ความสำคัญของสาเก
สาเกเคยเป็นเครื่องดื่มที่สงวนไว้ใช้เฉพาะพิธีกรรมทางศาสนาโดยราชวงศ์และชนชั้นสูง ก่อนที่จะเริ่มแพร่หลายในวิถีชีวิตของชาวบ้าน โดยเฉพาะในงานมงคลหรืองานเฉลิมฉลอง ในอดีตสาเกท้องถิ่นมักผลิตให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เข้ากับอาหารและสภาพแวดล้อมของภูมิภาคนั้นๆ เช่น สาเกจากนีงาตะรสบางเบา เข้ากับอาหารรสไม่จัดจ้าน หรือสาเกจากชิซุโอกะ เน้นจับคู่กับอาหารทะเล
สาเกเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนญี่ปุ่น วัตถุดิบ รสชาติ และวิธีการดื่ม สะท้อนบริบทในแต่ละภูมิภาคที่ต่างกันไป โดยองค์กรยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนภูมิปัญญาและทักษะดั้งเดิมของญี่ปุ่นในการผลิตเหล้าญี่ปุ่น และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่น เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ประจำปี 2567
ข้อมูลจาก The Book of Sake โดย Philip Harper และ Sake: A Drinker’s Guide โดย Hiroshi Kondo
Nippon in Thailand
กิจการในเมืองไทยที่พาไปรู้จักปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่น

The Sake Room
ห้องแห่งสาเกญี่ปุ่น ที่ทำให้การดื่มเครื่องดื่มข้าวหมักสนุกขึ้น 100%
สาเก เป็นเครื่องดื่มที่อาจหายไปในอนาคต
เทรุ-นิธิภา ทองปัชโชติ Certified Sake Instructor และ Sommelier ศึกษาเรื่องสาเกอย่างลึกซึ้ง ไปเรียนรู้กระบวนการทำสาเกจาก โทจิ ผู้ควบคุมการผลิตสาเกในหลายเมือง หญิงไทยผู้หลงใหลเครื่องดื่มหมักจากข้าวเห็นแล้วว่า คนญี่ปุ่นดื่มสาเกน้อยลง ทายาทโรงบ่มสาเกรุ่นใหม่หลายโรงตัดสินใจไม่สานต่องานหนักแต่กำไรไม่สูง อีกทั้งคนญี่ปุ่นเองก็ดื่มสาเกน้อยลง เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ

“แต่สาเกสนุกนะคะ มันเป็นงานศิลปะที่ละเมียดละไม ถึงใช้แค่ข้าว น้ำ โคจิ (ตัวย่อยแป้งเป็นน้ำตาล) ในการทำ แต่ว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้รสชาติละเอียดซับซ้อน มีความอูมามิ เข้ากับอาหารเอเชียได้ดีกว่าไวน์ ยิ่งอาหารไทยรสจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม ดื่มคู่กันแล้วอร่อยมาก” เธออธิบายว่าสาเกเป็นเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์คนเมืองร้อนได้ดี รสชาติหลากหลาย จะดื่มก่อน ระหว่าง หรือหลังอาหาร ก็ได้ทั้งสิ้น
เทรุทดลองเปิดเวิร์กช็อปสาเกแก่ผู้สนใจหลายครั้ง จึงตัดสินใจเปิดหน้าร้าน The Sake Room เป็นบาร์สาเกใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีสาเกมากกว่า 150 ชนิด หมุนเวียนให้เลือกชิมอยู่เสมอ ลูกค้าจะเข้ามาเรียนหลักสูตรความรู้เพื่อนำไปต่อยอด หรือเข้ามาจิบเครื่องดื่มให้เพลิดเพลินก็ทำได้
แม้หลายคนบอกเทรุว่า “กล้ามากเลยนะที่ขายสาเก 100%” เพราะคนไทยไม่ได้นิยมบริโภคสาเกมากนัก และยังเข้าใจว่าสาเกเป็นเหล้าขาว ซึ่งอาจดื่มยาก รสชาติไม่ถูกปาก ผู้ก่อตั้ง The Sake Room กลับมองว่า การที่ความรู้เรื่องสาเกในไทยมีน้อยมาก ห้องเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องเฉพาะทางของเธอ จะทำให้คนทุกชาติที่แวะเวียนเข้ามาได้ลองเปิดใจกับสาเก รวมถึงทำความรู้จักสาโท สุราข้าวท้องถิ่นไทยที่คล้ายคลึงกัน


เมื่อก้าวเข้ามา The Sake Room พนักงานจะแนะนำสาเกตามความชอบและบริบทของลูกค้า เช่น ดื่มพร้อมอาหารหรือไม่ วันที่มาอากาศร้อนหรือฝนตก เพื่อให้ได้ประสบการณ์ดื่มที่ดีที่สุด โดยเลือกสั่งเป็นคอร์สลองชิมแก้วเล็ก ๆ หลายแก้วได้ ทางร้านจะเสิร์ฟในแก้วและอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยมีทั้งสาเกแบบดั้งเดิมและสาเกของโทจิรุ่นใหม่ให้เลือก
ตัวอย่างสาเกสไตล์ใหม่ เช่น สาเกที่ออกแบบมาให้กินกับซีฟู้ดโดยเฉพาะ สาเกจากโรงบ่มที่ยึดหลัก Slow Sake จึงปลูกข้าวออร์แกนิก เพื่อส่งต่อทุ่งนาไร้สารเคมีให้คนรุ่นหลัง และหมักกับน้ำจากภูเขาและยีสต์ธรรมชาติ ไปจนถึงสาเกที่ยิ่งเก็บนานยิ่งอร่อยเสมือนไวน์ เพราะใช้ข้าวออร์แกนิกคุณภาพยอดเยี่ยม ทั้งยังควบคุมคุณภาพน้ำและยีสต์ให้คงที่
ความอร่อยของสาเกไม่ได้มาจากเพียงปลายลิ้น แต่มาจากเรื่องราววัฒนธรรมสุราโบราณ และศิลปะความทุ่มเทในวงการสาเก ที่ทำให้เครื่องดื่มประจำชาติญี่ปุ่นมีเสน่ห์ แถมบรรยากาศห้องสาเกก็อบอุ่นน่ารักมาก
The Sake room
วัน-เวลาทำการ : 18.00 – 00.00 น. (ปิดวันจันทร์-อังคาร)
Instagram : The Sake Room

ที่ปรึกษา
โชงาเสะ มาริ, เววิรี อิทธิอนันต์กุล, ณัฐชนินท์ บุญฤทธิ์, ศุภวัฒน์ เลาหชัยบุณย์
บรรณาธิการ&นักเขียน
ภัทรียา พัวพงศกร
บรรณาธิการศิลปกรรม&ช่างภาพ
ปฏิพล รัชตอาภา
พิสูจน์อักษร
สุดาวรรณ วนสุนทรเมธี
VDO
ผู้กำกับ – วิรัลพัชร สายทอง
ช่างภาพ – ศรัณยู จันทร์พจน์
ลำดับภาพ – วรรณรัตน์ ทอดศรี
สถานที่ถ่ายทำ
BANGKOK CITYCITY GALLERY, The Sake Room
ติดต่อสอบถาม
ชั้น 10 อาคารเสริมมิตร ทาวเวอร์
159 ถ.สุขุมวิท 21 (อโศกมนตรี)
กรุงเทพฯ 10110
Facebook: jfbangkok
อีเมล: acdept_jfbkk@jpf.go.jp