Nana Nippon ฉบับที่ 120

Nana Talk

รู้จักความเคลื่อนไหวในหลากมิติวัฒนธรรม ผ่านบุคคลในวงการศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยไทย-ญี่ปุ่น

How to Make Millions Love Your First Film:
A Conversation with Pat Boonnitipat
ภาพยนตร์ญี่ปุ่น-ไทย และการเดินทางของ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์
ผู้กำกับ ‘หลานม่า’

‘หลานม่า’ เป็นภาพยนตร์ไทยที่กวาดรายได้สูงสุดทั่วโลกตลอดกาล ปัจจุบันฉายแล้วในร้อยกว่าประเทศ มีผู้ชมกว่าสิบล้านคน กวาดรายได้มากกว่าสองพันล้านบาททั่วโลก จนตอนนี้ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ก็ไม่แน่ใจแล้วว่า ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตผู้กำกับของเขาจะเดินทางไปอีกไกลแค่ไหน

2 วันหลังจากหนังดังปี 2024 กวาดรางวัลสุพรรณหงส์มา 9 รางวัล หงส์สีทองยังนอนอยู่ท้ายรถ เราจับเข่าคุยกับเจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมวัย 35 และถามว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้าง

“ดีใจกับทีมงาน มีความสุขที่เห็นเขาดีใจ แต่ของเรามันจบตั้งแต่คนดูชอบแล้ว มีความสุขมากไปแล้ว”

ร้องไห้จนโรงหนังต้องแจกทิชชู ดูหนังจบแล้ววันรุ่งขึ้นนั่งรถไฟไปหายายที่ต่างจังหวัด ไปจนถึงคำชื่นชมขอบคุณท่วมอินบ็อกซ์จากผู้ชมนานาประเทศ คือตัวอย่างรางวัลชีวิตของคนทำหนัง ซึ่งไม่ได้เรียนจบฟิล์มมาโดยตรงด้วยซ้ำ แต่รักหนังและศึกษาค้นคว้าเองอย่างหนัก โดยเฉพาะภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เป็นแรงบันดาลใจและมีบทบาทสำคัญในชีวิต

จากเด็กชอบดูหนัง สู่ผู้กำกับที่มีหนังฉายโรงที่ญี่ปุ่น และผู้กำกับในดวงใจให้การยอมรับ ฉากเปิดเรื่องราวเส้นทางฝันนี้เกิดที่โรงภาพยนตร์

พลังของภาพยนตร์มันเป็นแบบนี้เหรอวะ

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากเป็นคนทำหนังคือหนังเรื่อง The Mourning Forest (殯の森, Mogari no mori) ของ Naomi Kawase เราไปดูในเทศกาลหนัง แต่ว่าซับไตเติลมันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้คนในโรงลุกออกกันเต็มเลย แต่เราก็นั่งดูอยู่จนหนังจบ แล้วน้ำตาไหลพราก ๆ งงเลย ทั้งที่ไม่ได้เศร้า เพราะเราฟังไม่ออก ดูไม่รู้เรื่อง แต่พลังของภาพยนตร์มันเป็นแบบนี้เหรอวะ วินาทีแรกที่หนังจบ รู้สึกว่าเราอยากเป็นคนทำหนังให้ความรู้สึกแบบนี้เกิดกับคนดู เลยไปตามดูหนังทุกเรื่องของคาวาเสะ แต่ดูแบบมีซับไตเติลละนะ

ต้นปีนี้ เจแปนฟาวน์เดชั่นให้เราเลือกหนังเรื่องหนึ่งมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่น เราก็เลยเลือกเรื่องนี้ ซึ่งมันเป็นหนังที่มีคุณค่ามากสำหรับเรา และเราไม่เคยดูอีกเลย เพราะไม่อยากทำลายความรู้สึกในเวลานั้น ปรากฏว่าเพิ่งไปดูในโรง ก็รู้สึกไม่เหมือนเดิม เลยทำให้เราเข้าใจว่า อ๋อ วินาทีนั้นที่เราดูไม่รู้เรื่อง เราพยายามสร้าง Narrative ในหัวของเราเอง และมันกลายเป็น Passion ของเราเมื่อทำ หลานม่า ว่าอยากจะหา Narrative ใหม่ให้การเล่าเรื่องให้มันสุดขึ้น ให้มันดีที่สุดในแบบของมัน

ชีวิตสั้น อยากดูแต่หนังดีมาก ๆ

เราชอบดูหนัง – หนังอาร์ต หนังแมส ชอบหมด
ชอบหนังดีมาก ๆ ไม่อยากดูหนังดีกลาง ๆ
เพราะชีวิตเราสั้น แต่หนังดีมาก ๆ มีมากเหลือเกิน อยากใช้เวลาไปกับการดูหนังที่ดีมาก ๆ

หนังญี่ปุ่นเป็น Safe Zone

เราดูหนังญี่ปุ่นเยอะมาก เป็น Safe Zone ของเรา เพราะมันมี Narrative งดงาม ผู้กำกับที่ชอบก็มีเยอะมาก

หนังสือสอนทำหนังที่เราซื้อมาอ่านมักมาจากลอสแอนเจลิสหรือนิวยอร์ก ซึ่งมีฟอร์มเล่าเรื่องชัดเจน การใช้กล้องแบบนี้ ใช้สีแบบนี้ ให้ความรู้สึกยังไง นักเรียนหนังจำนวนมากทั่วโลกเรียนแบบนี้ แต่หนังญี่ปุ่นต่างออกไป เขารู้ว่าฟอร์มทำยังไง แต่จะทดลองฉีกจากฟอร์มนี้ออกมา ซึ่งผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เราชอบดู

หนังที่เปลี่ยนชีวิตเราคือ The Ballad of Narayama (楢山節考, Narayama Bushikō) ของ Shōhei Imamura ซึ่งเราได้ไปเยี่ยมโรงเรียนสอนภาพยนตร์ที่อิมามุระก่อตั้งด้วย เขาเป็นผู้กำกับในตำนานตลอดกาล

หนังเล่าเรื่องหมู่บ้านที่ขาดแคลน จนมีกฎเหล็กว่าต้องแบกคนแก่ขึ้นไปปล่อยทิ้งให้ตายบนเขา เรื่องมันเริ่มที่แม่ของพระเอกที่ยังแข็งแรง ดูเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว เรายังจำได้ติดตาเลยว่าแม่เอาหินมากัดแล้วหินแตก ส่วนคนขโมยข้าวโดนฝังทั้งเป็น ตรรกะของเรื่องมันแม่นยำมาก ๆ วิธีการถ่ายทำก็ทำให้เราเชื่อจริง ๆ ว่าเราดูคนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น มันอัศจรรย์มากจนงงว่าหนังจากปีไหนวะ ผู้กำกับทำได้ยังไง แล้วตอนจบก็มีพลังมาก

เรื่องอื่นที่ชอบ เช่น Madadayo (まあだだよ) ของ Akira Kurosawa เป็นหนังที่มีมิติเยอะมาก เรื่องนี้มีเลเยอร์ประมาณ 20 ชั้น ไม่ใช่แค่การเล่าเรื่อง แต่มีเลเยอร์สังคม วัฒนธรรม เครือข่าย สงคราม ผู้คน มันสะท้อนเลเยอร์ก้องไปมา ไม่ใช่แค่ความเก่งของผู้กำกับ แต่เป็นความเก่งของสังคมที่ให้คุณค่ากับเรื่องแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่สั่งสมมาเป็นพันปี และน่าศึกษามากๆ

Wheel of Fortune and Fantasy (偶然と想像, Gūzen to Sōzō) ของ Ryusuke Hamaguchi เป็นหนังสั้น 3 เรื่องอยู่ในหนังยาวเรื่องเดียว ดูแล้วรู้สึกว่า มีคนเก่งขนาดนี้บนโลกด้วยเหรอ ทั้งทำบทและกำกับ

อีกเรื่องที่สำคัญคือ Still Walking (歩いても 歩いても, Aruitemo Aruitemo) ของ Hirokazu Kore-eda ซึ่งเปลี่ยนชีวิตเราไปอีกขั้น เราดูหนังของโคเรเอดะทุกเรื่อง หนังของเขาลึกซึ้ง เรียบง่าย เป็นตัวแทนหนังที่มีความงามแบบญี่ปุ่นในยุคโมเดิร์น เป็นหัวแถวเลย แล้วเราสงสัยมากว่าเขาทำได้ยังไง

ตอนเราทำ หลานม่า เราเอา Still Walking และหนังโคเรเอดะเรื่องอื่น ๆ มาดูเป็นสิบ ๆ รอบ บางเรื่องก็เป็นร้อยรอบ เพราะเราไม่ได้เรียนฟิล์ม เราเลยมีคลังหนังโดยเฉพาะหนังญี่ปุ่นไว้ศึกษา แล้วสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Still Walking พิเศษมาก ๆ และเป็นพื้นฐานวิธีคิดหนังเรื่องต่อ ๆ มาของเขา คือ เขารู้ว่าจะลำดับข้อมูลอย่างไร ฉากจำของเรื่องนี้คือพระเอกกับแม่เดินไปด้วยกัน แล้วทำไมมันงาม อยากทำได้ เลยไปพยายามถอดความคิดว่าเขาทำยังไง มันกลายเป็นไบเบิลที่เราใช้ทำหนัง

5 + 5

หนังหรือซีรีส์ทั่วไปจะเล่าข้อมูลแบบ 1+1 1 ช็อตมี 1 ข้อมูล เช่น เศร้า โคลสอัปเห็นน้ำตา อีกช็อตเห็นคนพูด แต่โคเรเอดะไม่ได้ทำแบบนั้น

เขาทำ 5+5 เช่น 1 เฟรมไม่ได้มีข้อมูลแค่น้ำตา แต่มีคนกินน้ำอยู่ข้างหลัง และอีกคนพูดไปเรื่อย ๆ เมื่อมี 3 สิ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน จะเกิดข้อมูลอย่างน้อย 3 ชุด ซึ่งจะรวมกันเป็นความหมายใหม่ หนังจะเกิดเลเยอร์โดยที่คนดูไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ

เราต้องรู้ว่าข้อมูลอีก 3 สิ่งที่จะเล่าในวินาทีถัดไปคืออะไร เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งผู้กำกับต้องแม่นยำมาก

รู้เรื่อง

เราไม่ได้ทำหนังเป็นแต่แรก ทุกอย่างมาจากประสบการณ์และคนสอนที่เก่ง พี่ย้ง (ทรงยศ สุขมากอนันต์) เป็นคนแรกที่สอนว่า ทำหนังต้องดูรู้เรื่อง ถ้าเราทำหนังให้คนดู 5 คน แล้วดูไม่รู้เรื่องคนเดียว ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าเราไม่ฟังแล้วทำให้พันคนดู จะมีคนไม่รู้เรื่อง 200 คน บทสนทนาที่เราอยากให้เท่หรือรู้สึกอะไรก็ตาม คนดูจะไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะดูไม่รู้เรื่อง

พื้นฐานของเราจึงต้องทำหนังแบบดูรู้เรื่องให้เป็นก่อน ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่คือการทำหนังแล้วฉายให้กลุ่มทดลองดูก่อน ให้คนพูดออกมาตามความรู้สึกเขา ฝ่ายบัญชี ฝ่ายดูแลศิลปิน ดูแล้วชอบมั้ย ถ้าเงียบ ๆ งง ๆ แล้วตอบว่า โอเคนะ แปลว่ามีบางอย่างไม่โอเค

ไม่รู้เรื่องตรงไหน แก้ไขได้แล้ว สเต็ปถัดไป การสร้างความรู้สึกจะตามมา

หลานดูแลอาม่าเพราะอยากได้สมบัติ ใครจะมาดูวะ

ไอเดียตั้งต้นอย่างหลานกับม่า วันนี้มันประสบความสำเร็จแล้ว แต่เราเคยคุยกับเพื่อนว่ากำลังทำบทเรื่องหลานดูแลอาม่าเพราะอยากได้สมบัติ เพื่อนทุกคนไม่มีใครสนใจ ข้ามไปถามเลย กินไรดีวะ บางคนก็ถามว่าใครจะมาดูวะ เราก็วูบเลย

วันที่ทำหนังจบ เราช่างมันแล้ว เราทำดีที่สุดแล้ว และคนรอบตัวเรา โปรดิวเซอร์ สตูดิโอ ทุกคนเชื่อในหนังเรื่องนี้ โดยไม่มีใครคิดว่าหนังจะได้สตางค์ เราเลยดีใจมากที่มันมีทุกวันนี้ และเราก็ได้เรียนรู้ภาษาหนังที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ก่อนหนังฉายคือการรอว่าคนดูรู้สึกยังไง

ฉากที่เราชอบคือฉากอาม่ากับเอ็มเดินไปด้วยกัน อาจจะคล้าย ๆ Still Walking ในที่สุดเราก็ทำสิ่งนี้ได้จริงๆ เป็นหลานกับอาม่าเดินด้วยกัน ทะเลาะกัน คุยกัน และจบซีนด้วยการเดินจูงมือกันไป ในช็อตที่ไม่มีโคลสอัป แค่คน 2 คนใช้ชีวิตในตลาดพลู เกิดมา ผ่านมา และจากไป

ภาพถ่ายร่วมกับผู้กำกับ Hirokazu Koreeda
ร่วมพูดคุยกับคุณ Sasaki, ผู้อำนวยการ Shuji Terayama Museum

ไอดอลของเรา ชอบหนังของเรา

เราไปญี่ปุ่นเกิน 20 ครั้ง ชอบมาก ปีที่แล้วรัฐบาลญี่ปุ่นให้ทุนเราไป JF Invitation Program for Cultural Leaders มันเกินฝัน ทีมงานของเจแปนฟาวน์เดชั่นก็ดูแลเราดีมาก เราไปโปรโมต หลานม่า ที่โตเกียวซึ่งกำลังเริ่มฉายที่ญี่ปุ่นพอดี ไปพิพิธภัณฑ์ แล้วก็บินไปอาโอโมริซึ่งไกลมาก เพราะเราอยากไป Shuji Terayama Museum ของผู้กำกับคนนี้ที่เสียไปแล้ว แต่ได้เจอนักแสดงของเขา แล้วเขาก็เล่าว่าชูจิกำกับเขายังไง สังคมยุคนั้นเป็นยังไง พวกเขาพยายามทำอะไรตอนนั้น และไปบ้านของ Osamu Dazai ด้วย

ระเบิดสมองมาก เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า ได้เจอคนที่ให้แรงบันดาลใจเรามากมาย เหมือนการทัศนศึกษาทางวัฒนธรรมที่เหนือจริง

เจแปนฟาวน์เดชั่นถามว่าเราอยากเจอใคร เราไม่ค่อยกล้าเสนอชื่อคนทำหนัง แต่แน่นอนว่าอยากเจอโคเรเอดะซึ่งเป็นไอดอลของเรา ปรากฏว่าเราได้เจอจริง ๆ ซึ่งเขาได้ดูหนังเราด้วยล่ะ และเขาก็ชอบมาก ดูละเอียดมาก เราขอให้เขาคอมเมนต์ว่าหนังต้องแก้ตรงไหนบ้าง แล้วคอมเมนต์เขา ของจริง!

ไทย-ญี่ปุ่น

คนชาติอื่นอาจจะรู้สึกว่า หลานม่า เหมือนหนังญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นไม่ได้รู้สึกนะ อาจเพราะเราไม่ได้พยายามก็อปหนังญี่ปุ่น เฟรมภาพก็เละตุ้มเป๊ะ มีแต่ปาขยะเข้าไปให้รก แต่วิธีการเล่าเป็นลำดับชัดเจนจนเขาอาจรู้สึกว่าหนังมีความเนี้ยบแบบญี่ปุ่น

ตอนฉายที่ญี่ปุ่น ฟีดแบ็กทางบวกมีเยอะ มีคนที่ดูจบแล้วนั่งรถไฟไปหายายตัวเองที่ต่างจังหวัด มีคนที่ตั้งคำถามใหม่กับชีวิต มีคนที่เขียนเล่าเรื่องพ่อที่เสียไปแล้วมาให้เราอ่านยาว ๆ

แต่ละคนมีความเห็นที่ต่างกันมาก ไม่ได้ไปในทางเดียวกัน เวลาวิจารณ์หนัง เขาลงรายละเอียดมากว่าชอบ ไม่ชอบอะไร มีตัวตนชัดเจน ซึ่งน่าจะเกิดจากการได้เสพวัฒนธรรมเยอะและหลากหลาย

Asian Cinema

คนประเทศอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับการดูหนังไทย เขาอาจจะมองว่านี่คือ Asian Cinema หรือ South East Asian Cinema ซึ่งมีเรื่องราวที่เขาเข้าใจได้ มาจากวัฒนธรรมไหนก็เข้าใจ สมมติเราทำฉูดฉาดกว่านี้ เอาฟอร์มอื่นมาจับ คนจำนวนหนึ่งอาจจะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่หนังของเขา

คนมักจะคิดว่าหนังสูตรสำเร็จคือหนังแมส แต่คำว่าหนังแมสกลายเป็นสิ่งที่ Out และผลักคนดูหลายคนออกไป มันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากดู เขาแค่อยากดูหนังที่เป็นหนัง ไม่ตะโกนว่าฉันเป็นหนังแมสหรืออาร์ต ฉันแค่เป็นฉัน มันอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนดูประเทศไหน ๆ ก็ไม่มีกำแพงกับมัน

หนังที่เรารู้สึกว่าดีจริง ๆ

ตอนนี้คิดไอเดียอะไรก็ลังเลว่าดีพอรึยัง เราเอาคุณภาพของ หลานม่า เป็นตัวตั้ง แล้วไม่ได้หาไอเดียได้ง่ายเท่าเดิม

เรายังคงสนุกกับการทำหนังสตูดิโอ ซึ่งมีคนเอาเงินให้เราทำหนัง ดังนั้นเขาต้องไม่เจ๊ง หนังต้องมีความดีงามของมัน และทำให้เข้าถึงคนมากพอที่จะสร้างเม็ดเงินกลับมา

พูดยากว่าไอเดียถัดไปจะแมสได้เท่านี้มั้ย แต่คิดหัวแตกไปก็คิดไม่ออก เราคงทำได้แค่หนังที่เรารู้สึกว่าดีจริง ๆ

ตัวอย่างหนังที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ แทบไม่มีเรื่องไหนประสบความสำเร็จทาง Box Office เลย แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ดีมาก ๆ เราต้องตั้งต้นทำหนังที่รู้สึกว่าดีให้ได้ก่อน ต่อให้คนไม่ชอบ ก็ยังมีกำลังใจทำหนังต่อไป

Nippon 101

เกร็ดความรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่ทำให้คุณรู้จักแดนอาทิตย์อุทัยมากขึ้น

A SHORT HISTORY OF JAPANESE & THAI FILMS

จาก ‘หนังพากย์’ สู่ ‘หนังพูดได้’
ความสัมพันธ์บนแผ่นฟิล์มของญี่ปุ่น-ไทย ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

Final Take ©1986 Shochiku Co., Ltd.

1. ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยเกี่ยวพันกับญี่ปุ่นมายาวนาน โรงภาพยนตร์ถาวรแห่งแรกในไทยก็ก่อตั้งโดยชาวญี่ปุ่น โทโมโยริ วาตานาเบะ ผู้เคยฉายหนังเร่ที่เวิ้งวัดตึกในปี 1904 แล้วกลับมาสร้างโรงหนังญี่ปุ่นในพื้นที่เดิมในปีถัดมา

2. ภาพยนตร์ในไทยสมัยก่อนเป็น ‘หนังเงียบ’ (Silent Films) ขาวดำ มีคนพากย์สดอยู่ตลอดเรื่อง ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจาก ‘เบนชิ’ (弁士) หรือผู้บรรยายหนังเงียบในญี่ปุ่น

3. ในช่วงเดียวกัน โลกตะวันตกได้พัฒนา Talkies หรือ Talking Pictures คือภาพยนตร์มีเสียงเข้ามาแทนที่ ด้วยเทคโนโลยีแผ่นเสียงในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวมีเสียงประกอบเข้ากันตลอดเรื่องและสมจริงมากขึ้น

4. แต่ทอล์คกี้หรือ ‘หนังพูดได้’ ยังไม่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นและเมืองไทย เพราะหนังพากย์ได้รับความนิยมมากในทั้ง 2 ประเทศ เบนชิหรือนักพากย์ไม่เพียงเล่าบทพูด แต่ยังช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจอให้ผู้ชมฟังอย่างได้อรรถรส

5. การสร้างหนังพูดได้ต้องใช้อุปกรณ์และต้นทุนสูง ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยจึงคงขนบหนังพากย์สดไปอีกหลายทศวรรษ

6. แต่คนทำหนังในญี่ปุ่นและไทยก็พยายามปรับตัวตามยุคสมัย สตูดิโอโชจิกุได้ว่าจ้างพี่น้องสึจิฮาชิ มาพัฒนาระบบบันทึกเสียงญี่ปุ่น จนสร้างหนังเสียงญี่ปุ่นเต็มเรื่องเรื่องแรก ชื่อ The Neighbor’s Wife and Mine สำเร็จในปี 1931

ภาพถ่ายโรงหนังญี่ปุ่น โรงหนังถาวรแห่งแรกในสยาม บริเวณเวิ้งวัดตึก (ปัจจุบันคือ เวิ้งนาครเขษม) กรุงเทพฯ
ก่อตั้งโดย โทโมโยริ วาตานาเบะ เมื่อปี 2448
ภาพจากหนังสือญี่ปุ่น “ประวัติพัฒนาการของภาพยนตร์ญี่ปุ่น เล่มที่ 1” เขียนโดย จุนนิชิโร ทานากะ

7. ในเมืองไทย พี่น้องตระกูลวสุวัต ผู้ริเริ่มสร้างหนังเงียบไทยเรื่องแรกในปี 1927 ทดลองทำหนังเสียงกับคณะหนังเสียงต่างชาติในไทย จนดัดแปลงสร้างอุปกรณ์ด้วยตนเอง เรียกว่า ‘แบบวสุวัต’ จนสร้างหนังไทยพูดได้เรื่องแรก หลงทาง สำเร็จในปี 1932

8. เมื่อพี่น้องวสุวัตเปิดโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุง สตูดิโอหนังเสียงแห่งแรกในไทยในปี 1935 ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ฮอลลีวูดแห่งสยาม’ คณะจากญี่ปุ่นก็มาดูงาน และทีมงานศรีกรุงก็ไปเยี่ยมชมงานด้านภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่นเช่นกัน ดาราไทยคู่ขวัญจากโรงถ่ายนี้ยังไปแสดงภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่นในปี 1941 ก่อนศรีกรุงจะเลิกกิจการในปี 1942 ขณะที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

ปิดทองหลังพระ (1931) หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)

9. แม้ 2 ประเทศจะสร้างทอล์คกี้ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่หนังเสียงไทยกลับหลงเหลือเพียงเศษฟิล์มหนัง 2 เรื่อง คือ เลือดชาวนา (1936) และ ปิดทองหลังพระ (1938) และหอภาพยนตร์ไทยยังเก็บสารคดี คล้องช้าง (1939) ที่ทีมงานชาวญี่ปุ่นถ่ายเบื้องหลังการถ่ายหนังเสียงของโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุงเอาไว้ ทั้งหมดนี้คือเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์หนังไทยที่มีคุณค่า

10. เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ และหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้ร่วมกันจัดทำโปรแกรมพิเศษ “Japanese & Thai Prewar Talkies” จัดฉายภาพยนตร์เสียงเรื่องแรก ๆ ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ของญี่ปุ่นและไทยไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

11. การชมทอล์คกี้ญี่ปุ่นซึ่งสร้างในระยะเวลาใกล้เคียงกัน เช่น The Neighbor’s Wife and Mine (1931), Tipsy Life (1933), Wife! Be Like a Rose! (1935), ไปจนถึง Final Take (1986) ชวนให้เราเข้าใจความเกี่ยวพันด้านภาพยนตร์ระหว่าง 2 ชาติ และพอจินตนาการถึงประวัติศาสตร์บนแผ่นฟิล์มที่สูญหายไปเกือบทั้งหมดของไทยได้

ข้อมูล : โปรแกรมหนังพูดได้ไทย-ญี่ปุ่น ยุคก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 2 จัดทำโดยหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)

Nippon in Thailand

กิจการในเมืองไทยที่พาไปรู้จักปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่น

Witti Studio
สตูดิโอออกแบบและโรงพิมพ์ Risograph ใจกลางสุขุมวิท

Risograph หรือ Riso เป็นวิธีการพิมพ์ที่ได้รับความนิยมในวงการสิ่งพิมพ์สร้างสรรค์หรือหนังสือทำมือ (Zine) ในไทย เพราะมอบสีสดฉูดฉาด รวมถึงสีสะท้อนแสงได้ เสน่ห์การพิมพ์ที่บิดเบี้ยวนิด ๆ แบบงานทำมือ พื้นผิวจุดเล็ก ๆ เหมือนสเปรย์พ่น และทดลองสร้างผลลัพธ์ได้หลากหลายแบบ พิมพ์สีทับกันเพื่อผสมสีสันใหม่ได้

แท้จริงแล้วริโซกราฟในไทยไม่ได้ดังแค่ในกลุ่มศิลปิน แต่ใช้กันแพร่หลายมาก ตั้งแต่พิมพ์เอกสารในศาลปกครอง โบสถ์ จนถึงกระดาษข้อสอบในโรงเรียน เทคโนโลยีการพิมพ์นี้คิดค้นโดยบริษัท Riso Kagaku Corporation ตั้งแต่ปี 1980 เครื่องถูกออกแบบมาเพื่องานเอกสาร เพราะจุดเด่นของการพิมพ์จำนวนมาก ราคาถูก และรวดเร็ว

ข้อดีมาก ๆ ของริโซกราฟ คือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน โดยหมึกริโซเป็นหมึกอิมัลชันที่ทำจากน้ำมันรำข้าว (ในอดีตผลิตจากน้ำมันถั่วเหลือง) ไม่มีกลิ่น เมื่อใช้พิมพ์งานจะซึมลงไปในเนื้อกระดาษ ทำให้โดนน้ำแล้วสีไม่ละลาย หนำซ้ำอุปกรณ์ส่วนใหญ่ยังย่อยสลายได้ หลอดหมึกที่หมดแล้วก็นำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้ และเครื่องพิมพ์ริโซกราฟก็ไม่ใช้ความร้อนในการพิมพ์ จึงดีต่อสุขภาพช่างพิมพ์มากกว่าการพิมพ์แบบอื่น ๆ

ผึ้ง-วิทมน นิวัติชัย และ สันติ ตันสุขะ ศึกษาข้อดีข้อเสียของริโซกราฟอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจซื้อเครื่องพิมพ์มาเปิด ‘Witti Studio’ (วิทตี้ สตูดิโอ) เมื่อปี 2019 เริ่มจากนำมาใช้กับงานออกแบบของตัวเองก่อน แต่เพราะเครื่องพิมพ์ควรถูกใช้งานต่อเนื่องสม่ำเสมอ หมึกจึงจะไม่แยกชั้น พิมพ์สีได้เนียนเรียบ ทั้งคู่จึงเปิดบริการรับพิมพ์งานควบคู่ไปด้วย จนตอนนี้สตูดิโอมีคิวพิมพ์งานยาวต่อเนื่องไปหลายเดือน ลูกค้าของพวกเขามาจากทั่วโลก โดยเฉพาะศิลปินต่างชาติที่ชื่นชอบคุณภาพการพิมพ์ของที่นี่

“Riso แปลว่า Ideal หรืออุดมคติ ซึ่งอยู่ในชื่อบริษัท Noboru Hayama ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาอยากฟื้นฟูระบบการพิมพ์ในญี่ปุ่น และเล็งเห็นเป้าหมายตั้งแต่ตอนก่อตั้งว่า อุดมคติต้องมาก่อน คนญี่ปุ่นเขาคิดอะไรลึก ๆ อยู่แล้ว เราประทับใจว่าเขาพัฒนาหมึกและเครื่องจักรมาตลอด ถึงริโซกราฟจะพิมพ์งานที่ Almost Right ไม่เนี้ยบ 100% แต่จุดอ่อนกลับกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง” สันติอธิบาย

ยิ่งเทคโนโลยีการพิมพ์ก้าวหน้า การพิมพ์ทุกสิ่งมีคุณภาพ รวดเร็ว และสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมนุษย์ไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการพิมพ์เลย ริโซกราฟกลายเป็นกระบวนการผลิตที่เปิดช่องว่างให้ทดลอง เพราะคนเป็นผู้ควบคุมเครื่องจักร การพิมพ์ริโซกราฟที่มีสีสันมาก ๆ หรือภาพซับซ้อน ช่างพิมพ์ต้องใส่กระดาษทีละแผ่น รอให้แต่ละสีแห้งก่อนพิมพ์รอบใหม่ กว่าจะได้งานแต่ละแผ่น ต้องอาศัยความประณีตเชี่ยวชาญ ความอดทน และการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งพ้องกับจิตวิญญาณคราฟต์ของศิลปินและนักสร้างสรรค์ทั่วโลก จนได้รับความนิยมทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

“เราพิมพ์งานเองทุกแผ่น ทุกชิ้นค่ะ เราทำงานนี้เพราะชอบการพิมพ์ เหมือนร้านกาแฟที่เจ้าของชงเองทุกแก้ว” ผึ้งกล่าว การเรียนจบด้านภาพพิมพ์โดยตรง บวกประสบการณ์ริโซกราฟที่ไม่มีทางลัด ทำให้บริการโรงพิมพ์เล็ก ๆ นี้น่าเชื่อถือ

นอกจากผลิตชิ้นงานของสตูดิโอและบริการโรงพิมพ์ ที่นี่ยังมีเซอร์วิสออกแบบครบวงจร จนพิมพ์งานออกมาสำเร็จ ผลงานของ Witti Studio มีตั้งแต่สิ่งพิมพ์ชิ้นเล็ก ๆ อย่างโปสการ์ด การ์ดเชิญงานแต่งงาน ไปจนถึงโปสเตอร์ ซีน และหนังสือนานารูปแบบ ทั้งยังมีเวิร์กชอปสอนริโซกราฟให้นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป รวมถึงออกงานแฟร์สิ่งพิมพ์ทางเลือกอย่างสม่ำเสมอ

ปีนี้เป็นปีแรกที่ Witti Studio ขยับขยายไปออกร้านที่ต่างประเทศ และสิ้นปี 2025 พวกเขาจะผลิตหนังสือสร้างสรรค์ 3 เล่ม โดยร่วมมือกับศิลปินทั้งไทยและต่างประเทศ

Witti Studio เป็นส่วนหนึ่งของ Riso Bangkok ชุมชนสตูดิโอริโซกราฟที่รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และอุปกรณ์กัน ซึ่งสะท้อนความนิยมริโซกราฟในไทย แม้จะเป็นกลุ่มเฉพาะ แต่เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยความรักต่อสิ่งพิมพ์

Witti Studio
ที่ตั้ง : โครงการ Jouer บ้านเลขที่ 10 ถนนสุขุมวิท 32 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
วัน-เวลาทำการ : โปรดนัดหมายล่วงหน้า
Instagram : witti.studio

ที่ปรึกษา
โชงาเสะ มาริ, เววิรี อิทธิอนันต์กุล, ณัฐชนินท์ บุญฤทธิ์

บรรณาธิการ&นักเขียน
ภัทรียา พัวพงศกร

บรรณาธิการศิลปกรรม&ช่างภาพ
ปฏิพล รัชตอาภา

พิสูจน์อักษร
สุดาวรรณ วนสุนทรเมธี

VDO 
ผู้กำกับ – วิรัลพัชร สายทอง
ช่างภาพ – ศรัณยู จันทร์พจน์ 
ลำดับภาพ – ปาลิตา พันธ์สุข

สถานที่ถ่ายทำ
GDH, Witti Studio

ติดต่อสอบถาม
ชั้น 10 อาคารเสริมมิตร ทาวเวอร์
159 ถ.สุขุมวิท 21 (อโศกมนตรี)
กรุงเทพฯ 10110
Facebook: jfbangkok
อีเมล: acdept_jfbkk@jpf.go.jp